• หมวดหมู่
    • ล่าสุด
    • แท็ก
    • ฮิต
    • ผู้ใช้
    • กลุ่ม
    • ลงทะเบียน
    • เข้าสู่ระบบ
    1. หน้าแรก
    2. meesookho
    3. ดีที่สุด
    • รายละเอียด
    • ติดตาม 1
    • คนติดตาม 1
    • กระทู้ 15
    • โพสต์ 66
    • ดีที่สุด 30
    • มีข้อโต้แย้ง 0
    • กลุ่ม 2

    โพสต์ดีที่สุดที่ถูกสร้างโดย meesookho

    • RE: ทำไมคนถึงพูดว่าข้อสอบจรรยาบรรณ CFP M1 มันยาก ? มีเทคนิคแนะนำก่อนสอบมั้ยครับ ?

      @T_Anonymous เพิ่มเติมจาก @BeNZmT ครับ

      การทำสอบข้อสอบส่วนจรรยาบรรณให้ผ่าน ต้องเตรียมตัวเป็นอย่างดี ด้วยการทำความเข้าใจหลักการวิเคราะห์ตามที่อาจารย์แนะนำ การไปคิดเอาเองระหว่างการทำสอบนั้น ต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง 😅เพราะสิ่งที่เราคิดอาจจะไม่สอดคล้องกับหลักการหรือเนื้อหาของจรรยาบรรณนั้นๆ เพราะจะมีเรื่องของการตีความด้วย (ถ้าเราตีความผิด ก็ผิดทาง) จึงต้องมีความพร้อมสำหรับแนวทางการตอบคำถามไปตั้งแต่ก่อนเข้าห้องสอบ คล้ายๆกับที่ @BeNZmT แนะนำไว้ครับ

      ผมแนะนำให้ทำส่วนของจรรยาบรรณก่อน ส่วนอื่นๆ เพราะมีความสำคัญมาก ถ้าไม่ผ่านก็คือตกเลย จึงควรใช้เวลาช่วงแรกที่เรายังสดชื่นอยู่ในการคิดวิเคราะห์ครับ

      เรามักจะอ้างถึงส่วนจรรยาบรรณซึ่งมี 21 ข้อ ว่าจรรยาบรรณเฉยๆ แต่ในความจริง แย่งออกเป็น จรรยาบรรณและความรับผิดชอบ 9 ข้อ และแนวทางปฏิบัติอีก 12 ข้อ
      แนวทางปฏิบัติจะเป็นเชิงกระบวนการทำงาน ซึ่งอยู่ในส่วนที่ 2 ของหนังสือจรรยาบรรณนะครับ มีหลายหน้าเลย ห้ามพลาดในการอ่าน ทำความเข้าใจ จากหนังสือ หรือใน เนื้อหาสรุประหว่างอบรมครับ

      โพสต์ใน Module 1 พื้นฐานการวางแผนการเงิน
      meesookhoM
      ดร.ชาติชาย มีสุขโข
    • RE: สงสัยเกี่ยวกับ Unit Linked ใครมีประสบการณ์บ้างมั้ยครับมาแชร์กัน

      @Ekk-cccw

      Unit Linked เป็นผลิตภัณฑ์ประกันที่ออกแบบมาให้ปรับเปลี่ยนตามผู้ทำประกันได้หลายแง่มุมครับ แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับข้อจำกัดของผลิตภัณฑ์ที่นำเสนอโดยแต่ละบริษัทด้วย

      อย่างไรก็ตามถ้าพูดเป็นการทั่วไป Unit Linked ออกแบบให้ ผู้ทำประกันสามารถเลือกทุนประกันได้สูงเทียบกับเบี้ยประกันที่จ่าย ซึ่งก็จะตามมาด้วย ต้นทุนสำหรับค่าความคุ้มครองนั้น (หรือ Cost of Insurance) ที่สูงขึ้น ส่งผลให้ในแต่ละปีที่ผู้ทำประกันจ่ายเบี้ยไป เงินที่ถูกหักออกไป เพื่อทำหน้าที่ให้ได้ความคุ้มครองชีวิตที่สูงตามทุนประกันที่เราเลือกไว้ ก็จะเพิ่มขึ้นตาม ทำให้เงินส่วนที่เหลือ หลังจากหักค่าธรรมเนียมอื่นๆ แล้ว ลดลง

      เงินส่วนที่เหลือหลังจากหัก Cost of Insurance และ ค่าธรรมเนียมต่างๆ สามารถสร้างผลตอบแทนให้ผู้ทำประกันได้ ซึ่งหากเป็นประกันแบบดั้งเดิม เงินส่วนนี้จะถูกนำไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ (เช่น พันธบัตรรัฐบาล) โดยบริษัทประกันจะดำเนินการให้สอดคล้องตามข้อกำหนดของ คปภ และเมื่อได้ผลตอบแทน ก็จะสามารถนำไปเป็นเงินคืนรายงวด รวมถึงสะสมไว้ เพื่อจ่ายให้กับผู้ทำประกันเมื่อครบสัญญา

      สำหรับ Unit Linked เงินส่วนนี้ ผู้ทำประกันสามารถเลือกได้ว่าจะไปลงทุนในกองทุนรวมใด ซึ่งทำให้ตอบโจทย์ผู้ทำประกันมากขึ้น เช่น ถ้ารับความเสี่ยงได้สูง ก็สามารถเลือกลงทุนในกองทุนรวมหุ้นได้

      ถ้าคิดในมุมนี้ จะเห็นว่า Unit Liked ให้อิสระกับผู้ทำประกันมากกว่า การทำประกันแบบดั้งเดิม เช่น ถ้าต้องการเป็นแบบเสี่ยงต่ำคล้ายกับประกันแบบดั้งเดิมก็เลือกกองทุนเสี่ยงต่ำ ถ้าพร้อมเผชิญความผันผวน ก็เลือกกองทุน หรือ จัดพอร์ตแบบเสี่ยงสูงได้
      แต่ถ้านำ Unit Linked ไปเทียบกับการลงทุน ก็จะเห็นว่า Unit Linked มีค่าใช้จ่ายหลายอย่าง ก่อนที่จะเหลือเงินไปลงทุน ซึ่งเป็นปกติของผลิตภัณฑ์ประกันที่จะมีค่าใช้จ่ายเหล่านี้เป็นปกติอยู่แล้ว จึงอาจจะเปรียบเทียบได้ยาก (หรือเปรียบเทียบไป ก็จะสู้ไปลงทุนโดยตรงไม่ได้)

      ผมจึงขออนุญาตให้ความเห็นว่า ให้พิจารณา โดยใช้งบประมาณที่มีสำหรับการทำประกันอยู่แล้ว (ซึ่งโดยปกติจะไม่มากเท่างบประมาณสำหรับลงทุน เพราะการทำประกันเป็นการบริหารความเสี่ยง มากกว่าการสร้างผลตอบแทน) มาประเมินว่า หากเลือกเป็น Unit Linked จะตอบโจทย์กว่า ทำประกันแบบอื่นหรือไม่ โดยไม่ต้องนำไปเทียบกับการนำเงินไปลงทุนในรูปแบบอื่นๆ
      เมื่อในส่วนของประกันตัดสินใจได้แล้ว เราค่อยไปวางแผนลงทุนในงบประมาณหรือเป้าหมายอื่นสำหรับการลงทุนต่างหากครับ

      เพื่อนๆ และผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ มีความคิดเห็นเพิ่มเติม เสนอแนวคิด หรือ update ข้อมูลเงื่อนไขต่างๆ ในปัจจุบัน ที่อาจจะปรับเปลี่ยนไปตามแต่ละบริษัทประกัน เรียนเชิญนะครับ จะได้เป็นประโยชน์กับทุกฝ่ายครับ

      โพสต์ใน ลงทุน
      meesookhoM
      ดร.ชาติชาย มีสุขโข
    • ความเครียดทางการเงินในที่ทำงาน

      ผลการสำรวจสุขภาพทางการเงินของพนักงานในองค์กรโดย PwC เมื่อปี 2023 ที่ผ่านมา จากพนักงานประจำ 3,638 คน ในประเทศอเมริกา พบว่ามีพนักงานถึง 60% ที่ต้องเผชิญกับความเครียดทางการเงิน ไม่เว้นแม้แต่ผู้ที่มีรายได้เกิน 100,000 ดอลลาร์ต่อปี (ประมาณ 3.5 ล้านบาทต่อปี) ที่เกือบครึ่งหนึ่ง (47%) ก็ยังกังวลในเรื่องการเงินเช่นเดียวกัน

      ผลกระทบของความเครียดนี้ส่งผลต่อสุขภาพจิต การนอนหลับ และความมั่นใจในตนเอง แม้นายจ้างจะมีผู้ให้บริการวางแผนการเกษียณอายุให้คำแนะนำ พนักงานยังต้องการที่จะได้รับคำปรึกษาจากที่ปรึกษาทางการเงินที่เป็นกลางและไม่เกี่ยวข้องกับการขายผลิตภัณฑ์หรือแผนการเกษียณอายุของบริษัท

      ความเครียดทางการเงินไม่ใช่เพียงแค่ปัญหาส่วนตัว แต่ยังส่งผลกระทบต่อสถานที่ทำงาน พนักงานที่มีความกังวลทางการเงินมักจะหลุดโฟกัสจากการทำงานมากขึ้น นำไปสู่การมีส่วนร่วมและผลผลิตในการทำงานที่ลดลง

      หนึ่งในสามของพนักงานยอมรับว่าความกังวลเรื่องเงินได้ส่งผลเสียต่อประสิทธิภาพการทำงานของพวกเขา พนักงานที่มีความเครียดทางการเงินมีโอกาสสูงมากกว่าปกติถึง 5 เท่า ที่จะถูกรบกวนจากปัญหาทางการเงินส่วนตัวในขณะทำงาน ซึ่งในจำนวนนี้มีมากถึง 56% ที่ใช้เวลาสามชั่วโมงหรือมากกว่าต่อสัปดาห์ในช่วงเวลาทำงานจัดการหรือคิดเกี่ยวกับปัญหาทางการเงินส่วนตัว ส่งผลให้มีเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้นที่รู้สึกกระตือรือร้นในขณะทำงาน

      แต่ยังมีข้อดีที่พบว่าส่วนใหญ่ของพนักงานกำลังมองหาคำแนะนำทางการเงินอย่างจริงจัง ประมาณ 74% มองหาคำปรึกษาเมื่อเผชิญกับการตัดสินใจทางการเงิน โดยมี 68% ที่ใช้บริการ โค้ชชิ่ง สัมมนา และเครื่องมือออนไลน์ที่นายจ้างให้บริการ

      แม้ว่าข้อมูลนี้จะเป็นของพนักงานในประเทศอเมริกาเท่านั้น แต่ก็สะท้อนให้เห็นผลกระทบของความเครียดทางการเงินต่อสุขภาพและชีวิตการทำงานของพนักงาน ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์กับผู้เกี่ยวข้อง เช่น เจ้าของกิจการ ผู้บริหาร ได้ตระหนักถึงแนวทางที่จะดูแลพนักงานให้มีชีวิตที่ดีขึ้นและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ

      เพื่อนๆ คิดว่าสอดคล้องกับบ้านเราหรือเปล่าครับ?

      ข้อมูลจาก link นี้

      โพสต์ใน พื้นฐานการเงินส่วนบุคคล
      meesookhoM
      ดร.ชาติชาย มีสุขโข
    • RE: ถ้ามีลูก ควรทำประกันแบบไหนดีคะ

      @cecilice เข้าใจว่าน่าจะหมายถึงทำให้ลูก (ในชื่อลูก) ขออนุญาตให้คำแนะนำตามนี้นะครับ
      ประกันมีประโยชน์ในหลายแง่มุมสำหรับเด็ก เช่น

      • เป็นเครื่องมือในการออมเงินระยะยาว เช่น ทำประกันสะสมทรัพย์ให้กับลูก โดยพ่อแม่เป็นผู้ชำระเบี้ยให้ เมื่อลูกโตขึ้น ประกันครบกำหนดอายุก็จะมีเงินก้อน ให้ลูกไปใช้ประโยชน์ได้

      • เป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงด้านภาระค่าใช้จ่ายเรื่องสุขภาพ เด็กๆ อาจจะมีความจำเป็นต้องใช้บริการโรงพยาบาลในกรณีเจ็บป่วย การทำประกันสุขภาพจะช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายนี้ จากการที่พ่อแม่จ่ายเบี้ยประกันสุขภาพเพื่อคุ้มครองไว้

      ในทางปฏิบัติจะมีแบบประกันที่สามารถรวมคุณสมบัติทั้ง 2 ด้านเข้าด้วยกันได้ ลองปรึกษาตัวแทนหรือนายหน้าประกันได้ครับ

      และอาจจะมีมุมมองด้านอื่นๆ เกี่ยวกับประกันสำหรับเด็กๆ เพิ่มเติมจาก ผู้เชี่ยวชาญท่านอื่นๆ ด้วยนะครับ รออ่านเพิ่มเติมครับ

      โพสต์ใน ประกัน
      meesookhoM
      ดร.ชาติชาย มีสุขโข
    • 4 เสาหลักเพื่อความมั่งคั่งที่ยั่งยืน

      4 เสาหลักเพื่อความมั่งคั่งที่ยั่งยืน

      ผมได้มีโอกาสศึกษาเรื่องการเงินส่วนบุคคลมายาวนานกว่า 15 ปี อ่านหนังสือทั้งภาษาไทยและอังกฤษที่เกี่ยวข้องร่วม 100 เล่ม ผ่านประสบการณ์ทำงานในอุตสาหกรรม ประกัน ลงทุน และการวางแผนการเงิน ทั้งในฐานะผู้ประกอบวิชาชีพ วิทยากร ผู้ประกอบการ

      ได้เรียนรู้หลายแนวคิดที่คนนิยมกัน เช่น การมีอิสรภาพทางการเงิน การวางแผนเกษียณเพื่อให้มีความสุขในบั้นปลายชีวิต การใช้กลยุทธ์ลงทุนพยายามเอาชนะตลาด การเริ่มต้นกิจการใหม่เพื่อสร้างความมั่งคั่งอย่างรวดเร็ว

      ได้พบว่าแต่ละแนวคิดมีรายละเอียดที่แตกต่างกันไป แต่ก็มีเป้าหมายที่สอดคล้องกันคือการสร้างและรักษาความมั่งคั่งให้อยู่อย่างยั่งยืน

      ผมจึงพยายามเรียบเรียงองค์ประกอบสำคัญเพื่อสรุปเป็นหลักการให้กับผู้ที่ต้องการนำไปใช้ประโยชน์ โดยต้องการให้เป็นมุมมองของคนทั่วๆไป ไม่ใช่ผู้ประกอบวิชาชีพ ผู้เชี่ยวชาญ หรือ อาจารย์ มุ่งหวังให้ง่ายต่อความเข้าใจ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้สำหรับคนทุกระดับ ด้วยการวิเคราะห์ค้นหาแนวทางที่เหมาะสมกับแต่ละคน
      4 เสาหลักเพื่อความมั่งคั่งที่ยั่งยืน (4 Pillars of Sustainable Wealth) ประกอบไปด้วย

      1. การบริหาร รายรับรายจ่าย
      2. การบริหาร ทรัพย์สิน
      3. การบริหาร หนี้สิน
      4. การบริหาร ความเสี่ยง

      ซึ่งทั้ง 4 เสาหลัก ต่างมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด เริ่มจาก เสาหลักที่ 1 ด้วยการคิดแบบง่ายๆว่า หากในช่วงเวลาหนึ่ง รายรับมากกว่ารายจ่าย ย่อมหมายถึง การมีเสาหลักที่ 1 ที่แข็งแรง ซึ่งเมื่อนำรายรับหักออกด้วยรายจ่าย ส่วนที่เหลือก็จะกลายเป็น ทรัพย์สิน ที่สามารถนำมาใช้จ่ายได้ในอนาคตหรือส่งต่อให้คนอื่นได้ตามที่ต้องการ

      นำไปสู่ เสาหลักที่ 2 คือการบริหารทรัพย์สิน ที่เกี่ยวข้องกับ การเลือกรูปแบบของทรัพย์สินที่จะเป็นประโยชน์ตามที่ต้องการในอนาคต ซึ่งการลงทุนที่หลายๆคนให้ความสำคัญนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการบริหารทรัพย์สิน เสาหลักที่ 2 ที่แข็งแรงจึงหมายถึง การบริหารจัดการทรัพย์สินให้สอดคล้องกับความจำเป็นและความต้องการในอนาคต

      อย่างไรก็ตาม หากมีช่วงเวลาที่ รายรับน้อยกว่ารายจ่าย (เสาหลักที่ 1 ไม่แข็งแรงเท่าที่ควรในช่วงนั้น) จำเป็นต้องนำทรัพย์สินที่มีอยู่มาใช้จ่ายแทน (เสาหลักที่ 2 มาช่วยค้ำจุน) หรือ อีกทางเลือกหนึ่งคือการเป็นหนี้ เพื่อนำเงินมาใช้จ่ายล่วงหน้าไปก่อน

      ทำให้เกิดเสาหลักที่ 3 คือการบริหารหนี้สิน ที่ต้องตระหนักว่าการสร้างหนี้แม้จะมีประโยชน์ในการนำมาใช้จ่ายเฉพาะหน้า หมายถึงว่าในอนาคตย่อมต้องมีช่วงเวลาที่มีรายรับมากกว่ารายจ่ายเพื่อให้มีเงินเหลือไปใช้หนี้

      ทั้ง 3 เสาหลักนั้น มีปัจจัยที่สำคัญมากมาเกี่ยวข้อง คือ เวลา (สังเกตว่าเรามีการพูดถึงช่วงเวลากันเสมอ) เพราะ เมื่อเวลาเปลี่ยนแปลง องค์ประกอบของ ทั้ง 3 เสาหลัก อาจมีการเปลี่ยนแปลงหรือความไม่แน่นอนอยู่ เช่น

      • รายรับ อาจจะเพิ่มขึ้นจากการเติบโต เปลี่ยนแปลง ทางการงาน หรืออาจจะขึ้นลงบางช่วงจากภาวะเศรษฐกิจและอาจจะมีรายจ่ายก้อนใหญ่ที่จำเป็นอย่างไม่คาดฝัน
      • มูลค่าทรัพย์สินอาจจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างที่คาดไม่ถึง
      • มูลค่าหนี้สิน มีโอกาสลดลงจากการชำระหนี้ ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยอาจจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงก็เป็นได้ หรืออาจจะต้องมีการก่อหนี้เพิ่มขึ้นอีกด้วยความจำเป็น

      เสาหลักที่ 4 คือการบริหารจัดการความไม่แน่นอนต่างๆ เหล่านี้ให้มีผลกระทบต่อความแข็งแรงของเสาหลักทั้ง 3 น้อยที่สุด ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญมากที่จะนำไปสู่ความยั่งยืน เช่น พยายามทำให้รายรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เตรียมพร้อมสำหรับรายจ่ายที่ไม่คาดฝัน จัดสรรทรัพย์สินให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นตามที่คาดไว้ รีบชำระคืนหนี้ให้รวดเร็ว ไม่ก่อหนี้เพิ่มหากไม่จำเป็นจริงๆ เป็นต้น

      แน่นอนว่า รายละเอียดของ 4 เสาหลัก ของแต่ละคน ย่อมแตกต่างกันไป เปรียบเสมือนความต้องการสร้างบ้านที่ไม่เหมือนกันบนเสาหลักทั้ง 4 ต้นนี้ ยกตัวอย่าง เช่น หลักการของผู้ที่ประสบความสำเร็จทางการเงิน ที่หลายๆคนเคยได้ยิน คือ

      1. พยายามทำให้รายรับมากกว่ารายจ่าย ตลอดเวลา ด้วยการขยันทำงาน เพิ่มรายรับ ประหยัดค่าใช้จ่าย
      2. เมื่อมีเงินเหลือ นำไปเก็บออมหรือเปลี่ยนเป็นทรัพย์สินที่สามารถเข้าใจได้ ไม่จำเป็นต้องหาทรัพย์สินลงทุนที่ซับซ้อน
      3. ไม่พยายามสร้างหนี้หากไม่จำเป็น เมื่อต้องการใช้จ่ายมากกว่ารายรับ เช่น ซื้อของชิ้นใหญ่ จะพยายามเก็บออมจากรายรับที่มากกว่ารายจ่ายก่อน แล้วจึงนำเงินไปซื้อ
      4. บริหารความเสี่ยงด้วยการ เก็บออมในบัญชีเงินฝาก ให้ทรัพย์สินเพิ่มขึ้นทีละน้อย แต่แน่นอน เพื่อให้มั่นใจ ว่าในช่วงที่ไม่มีรายรับหรือมีรายรับที่น้อยลงแล้ว จะมีทรัพย์สินที่นำมาใช้เพียงพอ ไปจนสิ้นอายุขัย และยังมีโอกาสส่งต่อให้ทายาทอีกด้วย

      ตัวอย่างแรกนี้แม้จะมีลักษณะไม่ซับซ้อน แต่ในการปฏิบัติจริงต้องใช้ความพยายามและระเบียบวินัยอย่างมาก จนกระทั่งมีหลายคนคิดว่า ไม่เหมาะกับตนเองหรือสถานการณ์ในปัจจุบัน ตัวอย่างนี้เปรียบเสมือนเป็นการสร้างบ้านที่อาจจะไม่ใหญ่โต แต่ก็มีความมั่นคง และก็อยู่ได้สบาย

      เพื่อให้เห็นความแตกต่าง ขอยกตัวอย่างที่ 2 ซึ่งอาจจะจินตนาการได้ว่าเป็นรุ่นลูกของบุคคลในตัวอย่างแรก

      1. มีช่วงเวลาที่รายจ่ายมากกว่ารายรับ เป็นเวลาที่ยาวนาน ตั้งแต่เด็กจนถึงวัยทำงานโดยไม่เดือดร้อนนัก เนื่องจากมีทรัพย์สินจากรุ่นพ่อแม่จุนเจือนำมาใช้จ่ายได้ สถานการณ์เริ่มดีขึ้นเมื่อเข้าสู่วัยทำงานและมีความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
      2. เริ่มต้นจากการมีทรัพย์สินในรูปแบบของความสามารถ ความรู้ การศึกษา ที่ได้รับการส่งเสริมจากพ่อแม่ ส่วนทรัพย์สินอื่นที่สร้างเพิ่มเติมด้วยตนเองมาจากช่วงที่รายรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากพื้นฐานการศึกษาและโอกาสที่มากกว่ารุ่นพ่อแม่
      3. มีการสร้างหนี้อย่างต่อเนื่องเนื่องจากความคุ้นเคยกับการใช้จ่ายที่มากกว่ารายรับ ตั้งแต่ในช่วงที่ตนเองยังไม่มีรายรับที่มากพอ โดยคาดหวังว่า จะมีรายรับที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในอนาคต มาชำระหนี้สินได้
      4. บริหารความไม่แน่นอนด้วยการพยายามเพิ่มเติมความสามารถตนเอง เพื่อสร้างโอกาสให้มีรายได้เพิ่มมากขึ้นตามที่คาดหวัง พยายามไม่ให้รายจ่ายเพิ่มขึ้นเร็วเท่ารายรับ พิจารณาทางเลือกการบริหารทรัพย์สินให้มีโอกาสเพิ่มมูลค่า ให้เพียงพอกับความต้องการใช้จ่ายในอนาคต แม้ต้องเผชิญความไม่แน่นอนจากการลงทุน ก็พยายามเพิ่มความรู้ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ผนวกกับทรัพย์สินที่คงเหลือมาจากรุ่นพ่อแม่ ที่สามารถนำมาบริหารจัดการได้ในช่วงที่ความไม่แน่นอนเกิดขึ้น มีการใช้เครื่องมือบริหารความเสี่ยง เช่น การทำประกัน เพื่อลดความกังวลกับรายจ่ายที่ไม่แน่นอนในอนาคต

      ตัวอย่างที่ 2 อาจเปรียบเทียบได้กับการสร้างบ้านที่ทันสมัย โดดเด่น น่าสนใจ บนเสาหลักที่ค่อยๆแข็งแรงขึ้นจากรากฐานที่ค่อนข้างดี ด้วยการใช้เครื่องมือที่ทันสมัย ความสามารถและประสบการณ์ ที่สูงของผู้ที่ออกแบบและก่อสร้าง

      ผมเชื่อว่าทุกคนต่างสามารถสร้างความมั่งคั่งที่ยั่งยืนได้ ตามลักษณะที่เฉพาะตัวที่มีรายละเอียดแตกต่างกันออกไป แล้วแต่ความต้องการและองค์ประกอบที่มีอยู่ ด้วยความเข้าใจถึงความสำคัญของทั้ง 4 เสาหลัก การวิเคราะห์ว่าแต่ละเสาหลักมีโครงสร้างที่มั่นคงเพียงใด ต้องทำอย่างไรเพื่อเสริมความแข็งแรง เพื่อสร้างบ้านที่สวยงาม น่าอยู่ มั่นคง ปลอดภัย ถูกใจเจ้าของให้มากที่สุดครับ

      โพสต์ใน พื้นฐานการเงินส่วนบุคคล
      meesookhoM
      ดร.ชาติชาย มีสุขโข
    • RE: ราคาทองคำที่พุ่งสูงในปีนี้ มันคือความเสี่ยงหรือโอกาสที่ควรลงทุน ?

      @T_Anonymous เรื่องนี้อาจจะต้องรบกวนนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ @bonthr และผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน @phongthorn @Tom89 ครับ
      ถ้าในมุมมองของนักวางแผนการเงิน ผมคิดว่า ความเสี่ยงและโอกาสมักจะมาพร้อมๆกัน อยู่ที่ว่าทางเลือกนั้นเหมาะกับแต่ละบุคคลหรือไม่ เช่น ถ้าเราเข้าใจว่า

      • การลงทุนในทองคำแตกต่างจากการลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ อย่างไร
      • โดยปกติราคาทองคำมีความผันผวนแค่ไหน และ
      • การเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในทองคำอาจจะช่วยทำให้ความผันผวนของพอร์ตลงทุนลดลงได้เนื่องจาก ความแตกต่างจากสินทรัพย์ลงทุนอื่นๆที่มีอยู่ในพอร์ตลงทุน

      ก็เป็นไปได้ที่จะพิจารณาลงทุนในทองคำ ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาใดก็ตาม

      ส่วนเรื่องการตัดสินใจว่าเวลาใดเหมาะสมที่สุดนั้น ต้องใช้ปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วย เช่น การวิเคราะห์ทางเทคนิค เป็นต้น ครับ

      นักวางแผนการเงินท่านอื่นๆ @ป-ยะ-ส-ราสา @tiantayach ช่วยแสดงความคิดเห็นได้เลยนะครับ 😊

      โพสต์ใน สินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ น้ำมัน ฯลฯ
      meesookhoM
      ดร.ชาติชาย มีสุขโข
    • Investment Planner (IP) กับ Investment Consultant (IC) ต่างกันอย่างไร?

      Investment Planner (IP) เป็นใบอนุญาตที่มีความครอบคลุมมากกว่า Investment Consultant (IC) ในด้านการทำงานที่ขยายขอบเขตไปจนถึงการ จัดทำแผนการลงทุน ตามเงื่อนไขเฉพาะของลูกค้า โดย เน้นไปที่การสร้างความมั่งคั่งให้ลูกค้า เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินต่างๆได้
      ผมเคยเขียนบทความไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ใน link ตามนี้นะครับ
      https://www.cmsk-academy.com/article/187/whatisip

      โพสต์ใน วิชาชีพทางการเงิน
      meesookhoM
      ดร.ชาติชาย มีสุขโข
    • RE: ประเภทเงินได้ของแพทย์

      @curious พูดใน ประเภทเงินได้ของแพทย์:

      หมอขายเครื่องมือแพทย์ (เป็นคนขาย) เป็นเงินได้ประเภทใด และถ้าหมอเปิดบริษัทขายเครื่องมือแพทย์ เป็นเงินได้ประเภทใด

      หมอขายเครื่องมือแพทย์ถือเป็นเงินได้ประเภท 40(8) ครับ ส่วนในกรณีที่หมอเปิดบริษัทขายเครื่องมือแพทย์ คือเป็นเงินได้ของนิติบุคคล ไม่ใช่บุคคลธรรมดา

      โพสต์ใน Module 1 พื้นฐานการวางแผนการเงิน
      meesookhoM
      ดร.ชาติชาย มีสุขโข
    • RE: ค่าใช้จ่ายเวลาซื้อขายคอนโด

      @curious เวลาที่เราไปกรมที่ดินเพื่อซื้อขายคอนโดหรืออสังหาริมทรัพย์ จะมีค่าใช้จ่ายอยู่ 4 ประเภทได้แก่

      1. ภาษีเงินได้ หัก ณ ที่จ่าย
      2. ภาษีธุรกิจเฉพาะ
      3. อากรแสตมป์
      4. ค่าธรรมเนียมการโอนของกรมที่ดิน

      รายละเอียดว่าเป็นจำนวนเท่าไหร่นั้นมีความซับซ้อนอยู่พอสมควรครับ ถ้าต้องการคำนวณดู สามารถเข้าไปใช้ บริการของกรมที่ดิน ตาม Link ด้านล่างนะครับ จะสามารถประเมินค่าใช้จ่ายล่วงหน้าได้ครับ

      https://lecs.dol.go.th/rcal/#/

      โพสต์ใน บริหารรายรับรายจ่าย เงินออม ภาษี
      meesookhoM
      ดร.ชาติชาย มีสุขโข
    • RE: การคิดดอกเบี้ยของบัญชีเงินฝาก

      โดยทั่วไปบัญชีเงินฝากออมทรัพย์จะคิดดอกเบี้ยให้ผู้ฝากทุกวัน แต่จะจ่ายดอกเบี้ยให้ผู้ฝากปีละ 2 ครั้ง คือ ในเดือนมิถุนายนและธันวาคม ซึ่งดอกเบี้ยที่ได้รับในแต่ละงวดก็จะมารวมเป็นเงินต้นสำหรับคิดดอกเบี้ยในแต่ละวันต่อไปด้วยครับ

      โพสต์ใน เงินฝาก
      meesookhoM
      ดร.ชาติชาย มีสุขโข
    • RE: ถ้าได้เป็นนักวางแผนการเงิน CFP หรือที่ปรึกษาการเงิน AFPT จะทำงานที่ไหนได้บ้าง ?

      @PT_888 ปัจจุบันนี้ เท่าที่ผมมีประสบการณ์โดยตรง สถาบันการเงิน มีความต้องการ CFP, AFPT อยู่พอสมควรเลยครับ เช่น ธนาคาร บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทประกัน และ บริษัทที่ให้บริการวางแผนการเงินหรือเป็นที่ปรึกษาทางการเงินแบบอิสระ (กลุ่มนี้อาจจะค่อนข้างใหม่แต่ก็มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆครับ)
      ซึ่งแต่ละที่อาจจะมีรายละเอียดของลักษณะงานที่แตกต่างกันออกไปบ้างนะครับ ต้องสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานตำแหน่งต่างๆ แนะนำให้ติดตามข่าวสารจากสถาบันการเงินเหล่านี้ หรือ ติดต่อไปถามกับฝ่ายบุคคลของสถาบันการเงินดูได้ครับ

      โพสต์ใน วิชาชีพทางการเงิน
      meesookhoM
      ดร.ชาติชาย มีสุขโข
    • RE: ขอคำแนะนำออมเงินกับ กอช.

      @betty ตามหลักการวางแผนการเงิน ควรออมเท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับต้องการใช้เท่าไหร่ในอนาคตครับ 😊

      ซึ่งถ้าเรายังไม่ทราบแนะนำแบบนี้ครับ add line ของ กอช. @nsf.th
      แล้วไปที่เมนูคำนวณบำนาญ
      ระบบจะสอบถามอายุ
      เราใส่ 45
      ระบบถามเพิ่มว่าเลือกรูปแบบคำนวณเงินบำนาญ
      เราเลือก บำนาญที่ต้องการได้รับ
      ระบบให้เลือกรูปแบบการส่งเงินสะสม
      เราเลือก รายเดือน
      เมื่อระบบให้ระบุเงินบำนาญที่ต้องการได้รับต่อเดือน
      เราใส่ตามที่เราต้องการไปก่อนนะครับ เช่น 10,000 บาท (หรือจะมากกว่าหรือน้อยกว่านั้นก็ได้ครับ แต่ผมขอใช้เป็นตัวเลขนี้ก่อน)

      ระบบจะคำนวณและแสดงขึ้นมาว่า
      ส่งเงินออม 2,500 บาทต่อเดือน
      นำส่งครบ 15 ปี (ตั้งแต่ 45 ถึง 60)
      มียอดเงินในบัญชี 579,539 บาท
      ได้รับเงินบำนาญเดือนละ 2,658 บาท ตลอดชีพ

      อ้าว.... ทำไมไม่ได้ 10,000 บาทล่ะ???

      เหตุผลเป็นแบบนี้ครับ
      ด้วยการที่ กอช. กำหนดการส่งเงินสะสมสูงสุดไว้ที่ปีละ 30,000 บาท (เดือนละ 2,500 บาท) รวมกับเงินสมทบจากรัฐบาลสูงสุดปีละ ไม่เกิน 1,800 บาท
      เมื่อรวมกับผลตอบแทนแล้ว (กรณีนี้คิดที่ 2.5% ต่อปี) ทำให้จำนวนเงินที่เราเก็บออมเพื่อกลับมาจ่ายเป็นบำนาญได้เดือนละ 2,658 บาท
      จะเห็นได้ว่าระบบเสนอให้เราเก็บออมแบบสูงสุดไว้ก่อนเลยครับ เพราะว่าเราต้องการได้บำนาญเดือนละ 10,000 บาท ก็จริง ถ้าเราออมผ่าน กอช. ก็จะมีโอกาสได้เดือนละ 2,658 บาท แบบไม่ต้องไปเผชิญความเสี่ยงมาก แถมมีรัฐบาลช่วยออมด้วย ก็เป็นเรื่องที่ดีใช่มั้ยครับ
      ซึ่งถ้าถามผมว่าควรออมผ่าน กอช. เท่าไหร่ ถ้าเป็นไปได้ แนะนำให้สูงสุดไปเลยครับ จะได้มีเงินใช้จำนวนหนึ่งค่อนข้างแน่นอน เทียบกับทางเลือกอื่นๆ

      หากคุณ Betty ต้องการได้รับบำนาญมากกว่าเดือนละ 2,658 บาท ก็สามารถออมหรือลงทุนผ่านช่องทางอื่นเพิ่มเติม เช่น กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) กองทุนรวมทั่วไป หรือ สินทรัพย์ลงทุนอื่นๆ ได้นะครับ เพียงแค่ว่า จะไม่มีคนมาช่วยสมทบให้เรา และ การรับเงินคืนจะไม่ได้เป็นการจ่ายแบบบำนาญครับ

      โพสต์ใน Module 1 พื้นฐานการวางแผนการเงิน
      meesookhoM
      ดร.ชาติชาย มีสุขโข
    • RE: บางกอกคณิกา

      @BEAMBERRY รายได้ที่เป็นเงินสดดังกล่าว ต้องนำมายื่นเสียภาษีด้วยครับ

      หมายเหตุ: ผมแสดงความเห็นตามหลักภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ไม่เกี่ยวกับกฎหมายการให้บริการตามเรื่องราวในละครนะครับ (ยังไม่ได้ดูเลย เดาๆจากชื่อเรื่อง สนุกหรือเปล่าครับ? 😀)

      ผู้เชี่ยวชาญท่านอื่นๆ ช่วยกันแสดงความคิดเห็นได้นะครับ

      โพสต์ใน บริหารรายรับรายจ่าย เงินออม ภาษี
      meesookhoM
      ดร.ชาติชาย มีสุขโข
    • RE: การลงทุนในคริปโต

      @Aood_Warithpol เรื่องนี้อาจจะต้องรบกวนผู้เชี่ยวชาญระดับผู้จัดการกองทุน @phongthorn ด้วยนะครับ 😊

      ส่วนตัวผมซึ่งมีการลงทุนในคริปโทอยู่บ้าง มีความเห็นว่าเป็นการกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์อีกประเภทที่แตกต่างจากสินทรัพย์ลงทุนดั้งเดิม ซึ่งเราก็ได้เห็นแล้วว่าแม้ว่าสินทรัพย์ลงทุนหลายประเภทจะปรับตัวลดลงในบางช่วงเวลา คริปโท เช่น บิทคอยน์ อีเธอเรียม มีราคาที่สูงขึ้น จึงส่งผลดีต่อพอร์ตการลงทุนโดยรวมได้ครับ

      ส่วนความผันผวนของตัวคริปโทเอง ก็คงเป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องประเมินต่อว่า จะนำเข้ามาในพอร์ตเป็นสัดส่วนมากน้อยแค่ไหน รวมไปถึงการเลือกลงทุนในคริปโทประเภทที่น่าเชื่อถือหรือได้รับการยอมรับจากนักลงทุนจำนวนมาก น่าจะทำให้ความผันผวนลดลงไปได้บ้างครับ

      โพสต์ใน คริปโทเคอร์เรนซี เช่น บิทคอยน์ อีเธอเรียม
      meesookhoM
      ดร.ชาติชาย มีสุขโข
    • RE: ทำไมประกันชีวิตถึงสำคัญสำหรับการวางแผนการเงินระยะยาว

      @Raksinaporn ประกันชีวิตมีหลายรูปแบบครับ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีอายุสัญญาที่ยาว เพราะเป็นเครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนระยะยาวเป็นหลัก เหตุผลที่ประกันชีวิตมีความสำคัญในระยะยาว สรุปประเด็นได้ตามนี้ครับ

      • ถ้าเป็นเรื่องการบริหารความเสี่ยง เช่น ผู้ทำประกันเป็นอะไรไป แล้วมีผู้รับผลประโยชน์มารับเงินทุนประกัน ความเสี่ยงดังกล่าวก็สามารถเกิดขึ้นไปตลอดเวลา ด้วยความที่เราไม่รู้ว่าจะเกิดเมื่อไหร่ สัญญาความคุ้มครองชีวิตนั้นจึงมักจะมีลักษณะที่ยาวนานไว้ก่อน
      • ถ้าเป็นเรื่องของการเก็บออมเงินผ่านประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ การเก็บออมระยะยาวมักจะส่งผลดีต่อการมีเงินใช้ในบั้นปลายชีวิต การมีเวลาเก็บออมเงินยาวๆ ส่งผลให้เราค่อยๆเก็บออมเงินทีละน้อยได้ การวางแผนระยะยาวต้องใช้ระเบียบวินัยทางการเงินสูง สัญญาประกันชีวิตที่มีอายุยาวช่วยสนับสนุนให้ผู้ทำประกัน ได้ปฏิบัติตามแผนที่วางไว้

      หลายๆฝ่ายจึงพยายามกระตุ้นให้แต่ละบุคคลทำประกันไว้ตั้งแต่อายุยังน้อยๆครับ เพื่อให้ได้ใช้ประโยชน์ของระยะเวลาที่ยาวนานนั่นเอง

      โพสต์ใน ประกัน
      meesookhoM
      ดร.ชาติชาย มีสุขโข
    • RE: การใช้บัตรเครดิต

      ธนาคารแห่งประเทศไทยมีการกำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า

      ดอกเบี้ย ค่าบริการ/ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ หรือเบี้ยปรับ ทุกประเภท ต้องไม่เกิน 16% ต่อปี (effective rate)** ครับ

      สามารถอ่านรายละเอียดได้ตามเอกสารใน Link ด้านล่างเลยครับ เป็นการประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยโดยตรงครับ

      https://www.bot.or.th/content/dam/bot/documents/th/our-services/public-handbook/non-bank-amc/non-bank-license-process/credit-card.pdf

      โพสต์ใน สินเชื่อ บัตรเดรดิต
      meesookhoM
      ดร.ชาติชาย มีสุขโข
    • RE: สัดส่วนการบริหารควรเป็นแบบไหน

      แนะนำว่า เริ่มจากส่วนสำคัญที่สุดคือเงินออมครับ ควรจะไม่น้อยกว่า 10% ของรายได้ และถ้าเป็นไปได้ พยายามให้ถึง 25% ขึ้นไปครับ เช่น ถ้ามีรายได้ต่อเดือน 10,000 บาท เมื่อได้รายได้มา ควรแยกเงินออม ออกไปก่อนเลยครับ เช่น ถ้าเราตั้งเป้าไว้ 25% คือ 2,500 ก็ควรจะโอนไปไว้ในบัญชีออม หรือ นำไปลงทุน (ถ้าเข้าใจเรื่องลงทุน) แล้วค่อยใช้เงินส่วนที่เหลืออีก 75%

      โพสต์ใน บริหารรายรับรายจ่าย เงินออม ภาษี
      meesookhoM
      ดร.ชาติชาย มีสุขโข
    • RE: มี IC แล้ว อยากเป็น CFP ด้วย ควร waive ไปสอบเลย หรือควรเรียน CFP M2 ดี ?

      @T_Anonymous เพิ่มเติมจาก @ป-ยะ-ส-ราสา @dirake ครับ
      ผมคิดว่าเนื้อหาของ IC เน้นไปที่ พื้ินฐานการลงทุนและผลิตภัณฑ์การลงทุน แต่ไม่ได้พูดถึง การ วางแผนลงทุน มากนัก รวมไปถึง กลยุทธ์การลงทุน และ กระบวนการจัดพอร์ตลงทุน ที่ CFP Module 2 จะค่อนข้างให้ความสำคัญ
      ผมจึงแนะนำให้อบรม CFP Module 2 เพื่อเสริมในเนื้อหาส่วนที่ค่อนข้างสำคัญทั้งในแง่มุมของทฤษฎีและปฎิบัติ และยังเพิ่มโอกาสที่จะสอบผ่านได้มากขึ้นด้วยครับ
      หวังว่าจะเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจนะครับ

      โพสต์ใน Module 2 การวางแผนลงทุน
      meesookhoM
      ดร.ชาติชาย มีสุขโข
    • RE: ถ้ามีลูก ควรทำประกันแบบไหนดีคะ

      @cecilice ขอเชิญ @Dr-Krish-Sethanand มาช่วย 😊

      โพสต์ใน ประกัน
      meesookhoM
      ดร.ชาติชาย มีสุขโข
    • RE: หุ้นสามัญ ต่างจากหุ้นกู้ยังไง ? ลงทุนแบบไหนได้ผลตอบแทนดีกว่ากัน ?

      การลงทุนในหุ้นสามัญ จะมีลักษณะที่ผู้ลงทุนมีความเป็นเจ้าของกิจการครับ แตกต่างจากการลงทุนในหุ้นกู้ ที่ผู้ลงทุนจะเป็นเจ้าหนี้ของกิจการ
      โดยทั่วไปผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นสามัญจะมีโอกาสสูงกว่าการลงทุนในหุ้นกู้
      เนื่องจากผลตอบแทนจากการเป็นเจ้าของกิจการขึ้นอยู่กับผลประกอบการ เช่น ผลกำไร ซึ่งไม่มีเพดานที่ชัดเจน ถ้ากิจการทำกำไรได้เยอะ ผู้ลงทุนในหุ้นสามัญก็มีโอกาสได้ผลตอบแทนสูง
      ในขณะที่ผู้ลงทุนในหุ้นกู้ มักจะได้ผลตอบแทนที่คงที่ชัดเจน คือ ดอกเบี้ย ซึ่งอาจจะไม่สูงเท่า ผลตอบแทนจากหุ้นสามัญ แต่ก็จะมีความแน่นอนมากกว่า

      โพสต์ใน หุ้นสามัญ
      meesookhoM
      ดร.ชาติชาย มีสุขโข